วันพุธที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2553
ปร.จีน
- คำพูดที่สะท้อนจิตวิญญาณของจีนคือ คนจีนไม่ได้ถือความคิดทางศาสนาและกิจกรรมทางศาสนาเป็นส่วนสำคัญที่สุดและน่าหลงไหลที่สุดในชีวิต พื้นฐานจิตวิญญาณของวัฒนธรรมจีนคือ จริยธรรม มิใช่ศาสนา
- จิตวิญญาณของปรัชญาจีนคือ “คน”
o แนวทางที่ ๑ : ความสำเร็จสูงสุดของการแสวงหาคือ “อริยปราชญ์”
o แนวทางที่ ๒ : ความสัมพันธ์ของคนในสังคมและกิจกรรมทางโลก
o ภาระหน้าที่ของปรัชญาจีน : ประสานแนวความคิดทั้งสองนี้ (อุดมคติ+ความเป็นจริงของโลก) เข้าด้วยกัน
o ภายในเป็นอริยปราชญ์ ภายนอกเป็นธรรมราชา
- อริยปราชญ์และการเมือง
o กิจกรรมทางโลกมิใช่เรื่องนอกหน้าที่ของอริยปราชญ์ กิจกรรมทางโลกคือแก่นแท้ของการพัฒนาบุคลิกภาพที่สมบูรณ์
o เขามิเพียงทำหน้าที่ในฐานะราษฎรของสังคมเท่านั้น แต่ยังทำในฐานะของ “ราษฎรของจักรวาล”
o “ภายในเป็นอริยปราชญ์ ภายนอกเป็นธรรมราชา” แสดงถึงความเกี่ยวพันอย่างแยกไม่ออกระหว่างอริยปราชญ์และหน้าที่ทางสังคมการเมือง
- ภูมิหลังทางภูมิศาสตร์ คือผืนดินอันกว้างใหญ่ไพศาล ชาวจีนจึงคิดว่า แผ่นดินของเขาคือ โลก (ใต้ฟ้า /ใต้หล้า)
- ภูมิหลังทางเศรษฐกิจ : เป็นระบบเศรษฐกิจแบบชาวนา การกสิกรรม และเจ้าของที่ดิน ผู้มีความเข้มแข็งทางกสิกรรมและสงครามจะเป็นผู้ชนะ
o “รากแก้ว” คือกสิกรรม
o “ปลายกิ่ง” คือ พาณิชย์
- ทัศนะร่วมกันของปรัชญาจีน
o “ฤดูหนาวถดถอยไป ฤดูร้อนก็เข้ามา ฤดูร้อนถดถอยไป ฤดูหนาวก็เข้ามา” อี้จิง (ปรัชญาหยู)
o “เมื่ออาทิตย์ขี้นถึงตอนเที่ยงก็จะตก เมื่อดวงจันทร์เต็มดวงก็จะกร่อน” อี้จิง (ปรัชญาหยู)
o “การหมุนเวียนเปลี่ยนกลับเป็นกฎเกณฑ์ที่สำคัญที่สุดของฟ้าดิน”
o “การพลิกกลับสู่ด้านตรงข้ามคือความเคลื่อนไหวของเต้า” (เหลาจื่อ)
o หลักจริยธรรมทางสายกลาง “อย่าเกินเลย”
- ดังนั้น
o ปรัชญาหยู เป็นปรัชญาทางสังคม จึงเป็นปรัชญาในชีวิตประจำวัน เพราะเน้นหน้าที่ทางสังคม
o ปรัชญาเต้า เน้นสิ่งธรรมชาติที่เกิดขึ้นภายในคน
o นักปราชญ์หยู ท่องอยู่ในสังคม นักปราชญ์เต้าท่องอยู่นอกสังคม (จวงจื่อ)
วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553
การทำแท้งในมุมมองของคริสตชน
มนุษย์มีอิสระทั้งในด้านความคิด การกรทำ การตัดสินใจ ซึ่งสิ่งต่างๆเหล่านี้ที่ทำให้มนุษย์ต่างจากสัตว์และสิ่งอื่นๆ และมีคุณค่าสูงกว่าสรรพสิ่งที่อยู่ในโลก
คำสอนของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกถือว่า มนุษย์เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดเหนือสิ่งอื่นใดในโลก เพราะมาจากพระเจ้า ดังที่ในพระคัมภีร์ปฐมกาลชาวคริสต์ได้กล่าวว่า “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ด้วยผงคลีดิน ระบายลมปราณเข้าทางจมูก มนุษย์จึงเป็นผู้มีชีวิต” (ปฐก.2:7) และชาวอิสราเอลถือว่า ลมปราณ เป็นเครื่องหมายของชีวิต และพระเจ้าก็ได้มอบบัญญัติให้แก่มนุษย์ หนึ่งในนั้นก็คือ “อย่าฆ่าคน”
และปัญหาการทำแท้ง ก็เป็นปัญหาหนึ่งที่พระศาสนจักรคาทอลิกให้ความสนใจและห่วงใยเสมอ และรู้สึกเห็นใจกับผู้ได้รับปัญหาเหล่านี้ แต่ว่าพระศาสนจักรคาทอลิกมิได้เห็นด้วยกับการทำแท้ง แต่ได้กลับคัดค้านกับการทำแท้ง และได้เสนอทางออกของปัญหานี้ด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งยังเสนอให้องค์กรและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องได้หันมาร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างจริงจัง โดยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหา และช่วยเหลือผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหานี้
ในหนังสือจริยธรรมศาสนาคาทอลิกได้ให้คำจำกัดความการทำแท้งว่า “เป็นการนำเอาชีวิตมนุษย์ (ทารกในครรภ์มารดา) ที่ยังไม่ถึงเวลาคลอด เอาออกเสียจากครรภ์มารดา ด้วยวิธีที่ปฏิบัติต่อครรภ์มารดา ไม่ว่าจะเป็นการฆ่าในครรภ์แล้วจึงเอาออก หรือการเอาออกมาฆ่านอกครรภ์ก็ตาม” ดังนั้นการทำแท้งจึงมีความหมายว่าเป็นการทำลายชีวิต ซึ่งเป็นการกระทำที่ขัดต่อคำสั่งของพระเจ้า เป็นการละเมิดสิทธิของพระเจ้าและศักดิ์ศรีของชีวิตมนุษย์
ต่อไปนี้ก็จะเป็นตัวอย่างบางกรณีที่น่าสนใจที่เกิดขึ้นจริงในสังคมมีดังนี้
1. การตั้งครรภ์ที่เกิดจากการถูกข่มขืนหรือหลอกลวง ทางพระศาสนจักรคาทอลิกมีความเห็นว่า กรณีนี้ก็น่าเห็นใจกับผู้ที่ถูกกระทำอย่างนี้ เกิดแผลในใจของผู้ที่ถูกกระทำ และบรรดาญาติพี่น้อง ผู้ที่ถูกกระทำควรพิจารณาดูว่าเป็นการถูกต้องหรือไม่กับการทำแท้ง ควรที่ทำสิ่งที่ถูกต้องให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยที่ไม่ทำร้ายให้คนอื่นที่ไม่รู้เห็นด้วย
สรุปได้ว่า ตามหลักคำสอนของคริสต์ศาสนานั้นห้ามการทำแท้งอย่างเด็ดขาด ผู้ที่ทำแท้งโดยเต็มใจ ถือว่ามีโทษทางศาสนาอย่างหนัก และควรหาทางออก การแก้ปัญหา เพราะการทำแท้งก็ไม่ใช่วิธีการแก้ปัญหาเสมอไป อีกทั้งเป็นปัญหาทางสังคมและศีลธรรมด้วย
วันพฤหัสบดีที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
หัวข้อสนนา
หรือเจตนาดีกว่า ท่าคิดว่าอย่างไร
วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ปรัชญาการดำเนินชีวิต
แม้เราจะได้บทเรียนจากผู้ซื่อสัตย์ แต่เราก็ไม่ได้คิดจะปฏิบัติตามเขา? คานธี
ทำงานด้วยร่างกายจะถูกปกครอง ทำงานด้วยสมองจะปกครองคนอื่น? เม่งจื้อ
ถ้อยคำที่ใช้ในการถกเถียง จะมีความจริงเพียงครึ่งเดียว สตีเวน ลิค็อต
มีแต่คนโง่เขลา ที่คิดว่าชีวิตตนเองว่างเปล่าไร้ความหมาย นิโคไล เชอนิเชฟกี้
ธรรมชาติให้ลิ้นเรามาอันเดียว แต่หู 2 หู นั่นคือ เราต้องฟังมากกว่าพูดถึง 2 เท่า อีพิคติตุส
เมื่อเราไม่ได้รักใคร ก็อย่าหวังจะให้ใครมารักเรา เอพิคเตตัส
รู้น้อยแล้วปฏิบัติ ดีกว่ารู้สารพัดแต่อยู่เฉย คาริล ยิบราน
อย่าถ่อมตนกับคนยโส อย่าวางโตกับผู้ถ่อมตน โทมัส เจฟเฟสัน
เราจะหลีกหนีการตัดสินของผู้พิพากษาได้อยู่ทางเดียว นั่นคือการยอมอยู่ใต้กฎหมาย นโปเลียน
เมื่อเห็นคนเมา ให้คิดว่าเขากำลังหาทางหนีจากบางสิ่งที่ไม่งดงาม คาริล ยิบราน
ความภูมิใจที่ยิ่งใหญ่ของเรา ไม่ได้อยู่ที่เราไม่เคยล้มแต่อยู่ที่เราสามารถลุกขึ้นได้ทุกครั้งที่เราล้มลง ขงจื้อ
สิงสิ่งที่ผู้ชายปิดไม่มิด ?คือ เมาสุราและการีความรัก นโปเลียน
หนทางไกลนับหมืนลี้? ต้องเริ่มต้นจากก้าวแรก เล่าจื้อ
ประโยคคลาสสิค ตามแนวคิดนักปรัชญา
ความหมาย "ทุกสิ่งทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา"
2. เรอร์เน เดกาสต์ กล่าวว่า "Gogito ego sum"
ความหมาย "I think therefor I am" ฉันคิดฉันจึงมีอยู่
3. จอห์น ล็อค กล่าวว่า "Tabula Rasa"
ความหมาย "เราเกิดมาเหมือนกระดาษเปล่า เราได้รับรู้สิ่งต่างๆ ก็โดยการมีประสบการณ์กับสิ่งนั้น"
4. จอร์จ บาร์กลีย์ กล่าวว่า "Esse est percipi" "To be is to be persieve"
ความหมาย " การเป็นอยู่คือการถูกรับรู้"
คำศัพท์ปรัชญาวันละนิด
- Cogito ergo sum (ค็อค-จิ-โต-เออร์โก-ซุม) มาจากคำละติน แปลว่า ฉันคิด ดังนั้นฉันจึงเป็นฉัน (I think, therefore I am) ตามหลักปรัชญาความรู้ของเดซ์การ์ตส์ (Descartes) ระบบการโต้แย้งเชิงปรัชญาของเขาเรียกว่า “the catersian argument” (เดอะ-แค็ท-เท-เชี่ยน-อา-กิว-เม้นท์)
- Common sense (คอม-ม่อน-เซนส์) สามัญสำนึกเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่
- Essence (เอ็ส-เซ้นส์ ) สารัตถะหรือแก่นแท้ของสิ่งต่าง ๆ
- existentialism (อิก-ซิส-เทน-เชียส-ลิซซึ่ม) หลักปรัชญาอัตถิภาวะนิยม ว่าด้วย การดำรงอยู่ (existence) ของมนุษย์ในฐานะปัจเจกบุคคล (individual) อย่างเป็นอิสระ (free) ที่มีคุณค่าและความหมายแตกต่างจากวัตถุสิ่งของ
- Free will (ฟรีวิล) เจตจำนงเสรี เป็นคำตรงข้ามกับชะตากรรมถูกกำหนด (determinism) เป็น ความคิดทางปรัชญาที่โต้แย้งกันว่า มนุษย์มีเจตจำนงเสรีเป็นอิสระแก่ตัวในการกระทำหรือไม่ หรือว่าถูกกำหนดไว้แล้วโดยชะตากรรม หรือโดยพระผู้เป็นเจ้าขีดเส้นชะตากรรมไว้แล้ว
- intuition (อิน-ทิว-อิ-ชั่น) ญาณที่ล่วงรู้มาก่อนแล้ว ญาณสังหรณ์
- tabula rasa (แท็บ-บุ-ล่า-รา-ซ่า) มาจากคำละติน แปลว่า “a blank tablet-กระดานที่ว่างเปล่า” เป็นการอธิบายสภาวะจิตของมนุษย์ในทันทีที่ที่เกิดมาเป็นจิตว่างเปล่า ต่อมาได้รับประสบการณ์มาพิมพ์ลงในจิตจึงเกิดเป็นความรู้คิดต่าง ๆ ขึ้น
นักปรัชญา คนสำคัญ
โสกราตีสเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ที่ไม่ได้มีผลงานการเขียนอะไรคงเหลือ อยู่ถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามตัวตนและความคิดของเขายังคงอยู่ถึงปัจจุบันผ่านงานเขียนของ บุคคลอย่าง อริสโตเติล (Aristotle) เพลโต (Plato) อริสโตฟานเนส (Aristophanes) หรือ ซีโนฟอน (Xenophon) นอกจากนั้นยังมีทั้งนักเขียน นักคิด และนักปราชญ์ที่เก็บเรื่องราวของโสกราตีส อย่างไรก็ตาม เราไม่สามารถรู้ว่าข้อมูลเรื่องเล่าถึงชีวิตของโสกราตีสนั้นจริงหรือเท็จได้ อย่างแน่นอน ตามธรรมเนียมโบราณ โสกราตีสนั้นเป็นลูกของโสโฟรนิกัส (Sophronicus) ผู้เป็นพ่อ และ แฟนาเรต (Phaenarete) ผู้เป็นแม่ โสกราตีสได้แต่งงานกับซานทิปป์ (Xanthippe) และมีลูกชายถึง 3 คน เมื่อเทียบกับสังคมสมัยนั้นซานทิปป์ถึงได้ว่าเป็นผู้หญิงอารมณ์ร้าย และโสกราตีสเองได้กล่าวว่าเพราะเขาสามารถใช้ชีวิตกับซานทิปป์ได้ เขาใช้ชีวิตกับมนุษย์คนใดก็ได้ เหมือนกับผู้ฝึกม้าที่สามารถทนกับม้าป่าได้ โสกราตีสได้เห็นและร่วมรบในสมรภูมิ และ ตามสิ่งที่พลาโตได้กล่าวว่า โสกราตีสได้รับเหรียญเกียรติยศสำหรับความกล้าหาญในสมรภูมิ
ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ไม่กล่าวอย่างชัดเจนว่าโสกราตีสประกอบอาชีพใด ใน"ซิมโพเซียม" (Symposium) ซีโนฟอนกล่าวว่าโสกราตีสใช้ชีวิตกับการสนทนาปรัชญา โสกราตีสไม่น่าที่จะมีเงินมรดกจากครอบครัวเพราะบิดาของโสกราตีสเป็นเพียง ศิลปิน และตามการบรรยายของพลาโต โสกราตีสไม่ได้รับเงินจากลูกศิษย์ อย่างไรก็ตามซีโนฟอนกล่าวใน"ซิมโพเซียม"ว่า โสกราตีสรับเงินจากลูกศิษย์ของเขา และอาริสโตฟานเนสก็เล่าว่าโสกราตีสได้เปิดโรงเรียนของตนเอง ข้อสันนิษฐานอีกอย่างหนึ่งที่เป็นไปได้ก็คือ โสกราตีสเลี้ยงชีพผ่านเพื่อนที่ร่ำรวยของเขา เช่นเอลซีไบเดส (Alcibiades)
การไต่สวนและเสียชีวิต
โสกราตีสใช้ชีวิตอยู่ในช่วงเวลาของการเปลียนแปลงในอาณาจักรเอเธนส์ จากจุดสูงสุดของอาณาจักรเอเธนส์ถึงยุคเสื่อมภายหลังการพ่ายแพ้ให้กับกรุงสปาร์ตา (Sparta) มีบุคคลสามคนสำคัญที่ยุให้ศาลสาธารณะของกรุงเอเธนส์ไต่สวนโสกราตีส โดยกล่าวหาว่าโสกราตีสเป็นผู้ที่สร้างความเสื่อมศรัทธาในศาสนา และเยาวชนในกรุงเอเธนส์ เรื่องราวทั้งหมดนี้สามารถอธิบายได้ เมื่อนึกถึงสถานการณ์ในเมืองเอเธนส์ภายหลังการพ่ายแพ้ให้กับสปาร์ตานั้น ชาวเมืองเอเธนส์ ผู้ยังเชื่อถือในเทพเจ้าผู้ปกป้องเมืองต่างๆ มองว่าการพ่ายแพ้ของเอเธนส์เป็นเพราะเทพเจ้าเอเธนา (Athena) ผู้เป็นเทพปกครองเมืองเอเธนส์นั้นประสงค์จะลงโทษเมืองเอเธนส์เพราะผู้คนใน เมืองเสื่อมศรัทธาในศาสนา การที่โสกราตีสตั้งคำถามและสนทนาเกี่ยวกับปรัชญาจึงเท่ากับเป็นการทรยศชาติ การไต่สวนตัดสินว่าโสกราตีสมีความผิด และเขาถูกประหารโดยการรับพิษ
วิธีคิดแบบ โสคราตีส (Socrates)
โสคราตีส เชื่อว่าความรู้เป็นสิ่งสัมบูรณ์ คือ เป็นสากล เที่ยงแท้แน่นอน เป็นความรู้ในความจริง และมีความรู้ชนิดเดียวคือ ความรู้ชนิดที่ทำให้ผู้รู้รักความจริง เทิดทูนคุณธรรม สามารถคิดและทำได้อย่างถูกต้อง
โสคราตีสเชื่อว่า ผู้มีความรู้จะไม่เป็นคนเลวโดยเด็ดขาด ส่วนผู้ที่ยังทำผิด ก็เพราะเขาไม่มีความรู้ มีแต่เพียงความเห็น จึงอาจผิดพลาดได้เป็นธรรมดา ผู้มีความรู้ทุกคนสามารถเข้าถึงความจริงได้ตรงกัน เพราะความรู้หรือความจริงเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์อยู่แล้ว เรียกว่าเป็นความรู้ก่อนประสบการณ์ (Apriori Knowledge) ดังนั้นสิ่งที่ถูกรู้คือธีคิด ตัวเรา มิใช่โลกภายนอก คนเราต้องศึกษาตนเอง (Know Thyself) ให้เข้าใจแล้วจะพบความจริง
วิธีการที่โสคราตีสใช้ในการศึกษาตนเองก็คือ การคิดตรึกตรองในขณะจิตสงบ และอีกวิธีหนึ่งคือ การถาม-ตอบ หรือที่เรียกว่า วิธีการของโสคราตีส (Socratic Method) ประกอบด้วย
1. สงสัยลังเล (skeptical) โสคราตีสจะเริ่มต้นด้วยการยกย่องคนอื่น พร้อมกับขอร้องให้ช่วยอธิบายเรื่องที่ยังไม่กระจ่างให้ฟัง เช่น ความรัก ความงาม คุณธรรม ความยุติธรรม ความรู้ เป็นต้น
2. สนทนา (conversation) โสคราตีสจะเป็นผู้ตั้งคำถามให้คู่สนทนาเป็นผู้ตอบ เขาเชื่อว่าวิธีการนี้จะทำให้คู่สนทนาเปิดเผยความจริงที่มีอยู่ในตัวเองออก มา โดยมีเขาเป็นเพียงผู้ช่วย ไม่ใช่ผู้นำความรู้ไปให้ เพราะความรู้ไม่ใช่สิ่งใหม่ ขอเพียงนำออกมาให้ถูกวิธี
3. หาคำจำกัดความ (conceptional หรือ definitional ) โสคราตีส เชื่อว่าความจริงมาตรฐานจะแฝงอยู่ในคำจำกัดความ หรือคำนิยาม ที่สมบูรณ์ เช่น ความยุติธรรม หากเรายังไม่รู้ว่า ความยุติธรรมคืออะไร เราก็ยังไม่เข้าใจและไม่รู้จักว่าการกระทำใดยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม เป็นต้น ดังนั้นการสนทนาจึงเป็นการเสนอคำนิยามศัพท์ และพยายามขัดเกลาคำนิยามนั้นให้บกพร่องน้อยที่สุด
4. ทดสอบด้วยการลงมือปฏิบัติ โดยใช้วิธีการยกตัวอย่างที่มีสภาพแวดล้อมต่างกันมาช่วยโต้แย้งเพื่อขัดเกลา คำนิยาม คำนิยามใดที่ยังโต้แย้งได้ก็แสดงว่ายังไม่สมบูรณ์ จะต้องหาคำจำกัดความที่ทุกคนยอมรับโดยไม่มีข้อแย้ง
5. สรุปกฎเกณฑ์ไว้เป็นมาตรฐาน เพื่อนำไปใช้อ้างอิงต่อไป รวมถึงการพิสูจน์คำนิยามดังกล่าวด้วย